7 กรกฎาคม 2559

8 เคล็ดลับ กำจัดสิวอุดตันที่ฝั่งลึก!!ห่างไกลจากสิวอุดตัน

หน้าตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ การที่เราจะออกไปพบปะผู้คนภายนอก พวกเขาย่อมตัดสินคุณจากภายนอกเป็นอย่างแรก ดังนั้นหน้าตาก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ควรจะเอาใจใส่ให้มากๆ

ถึงแม้จะไม่ได้สวยเลิศเลอหรือไปพึ่งมีดหมอทำศัลยกรรม แต่ก็ควรมีใบหน้าที่ดูสะอาดตา เพราถ้าคุณมีบุคลิกภาพที่ดี ผู้คนย่อมชื่นชมคุณ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เอ่ยปากออกมาก็ตาม


คงจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก หากหน้าตาของเรามีสิวเป็นเครื่องประดับ เพราะนอกจากมันจะทำให้เราดูเหมือนเป็นคนสกปรก และไม่รู้จักดูแลตัวเองแล้ว ก็ยังสามารถทำให้คุณรู้สึกไม่มั่นใจเท่าที่ควรอีกด้วย แต่เมืองไทยนั้นมีอากาศที่ร้อนมากตลอดทั้งปี

การที่จะหลีกลี้แสงแดดและความมันอันเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะวัยรุ่นที่มีฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง และต้องเผชิญกับมลภาวะค่อนข้างมาก จึงทำให้เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีสิวปรากฏบนใบหน้า
วันนี้เราจึงขอนำเสนอ 8 วิธีเด็ด ที่จะทำให้ผิวของคุณใส ไร้สวยอย่างแน่นอน

1. ล้างหน้าให้สะอาด ถ้าหากว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่ล้างหน้าในตอนเช้า แถมตอนเย็นก็ทำความสะอาดใบหน้าไม่หมดจบเพียงพอ ก็เตรียมตัวเป็นสิวได้เลย เพราะในขณะที่เราหลับ อาจจะมีน้ำลายไหลเปรอะใบหน้า

ถ้าไม่ล้างออกให้หมด แบคทีเรียก็จะฝังตัวและเตรียมพร้อมที่จะกลายเป็นสิวต่อไปได้ ส่วนช่วงกลางวัน หน้าของเราก็ต้องมีเหงื่อและน้ำมันไหลออกมา เมื่อสัมผัสกับฝุ่นละอองก็อาจทำให้เกิดสิวอุดตันได้ โดยเฉพาะใครที่ทาครีมกันแดดหรือทาเครื่องสำอาง ต้องล้างออกให้หมดก่อนจะเข้านอน

2. สครับหน้าบ้าง สาเหตุหนึ่งของสิวอาจเกิดจากการที่เซลล์ผิวเก่าตกค้างบนใบหน้า ถ้าหากเราได้ขัดเพื่อผลัดเซลล์ผิว นอกจากจะทำให้ผิวใสขึ้นแล้ว ยังลดโอกาสในการเกิดสิวด้วย อาจจะใช้น้ำตาลหรือเหลือมาขัดก็ได้


3. ใช้น้ำมะนาวผลัดเซลล์ผิว หลักการก็คล้ายๆ กันการการสครับ แต่งานนี้เราไม่ได้ขัด แต่จะใช้กรดอ่อนจากธรรมชาติมาทำความสะอาดผิวแทน

4. กำจัดสิวดื้อด้านด้วยสารเคมีเฉพาะ อย่าง เรตินเอ ดิฟเฟอร์ริน หรือ เบนซอยด์เพอร์ออกไทด์ เป็นสารที่ใช้ผลัดเซลล์ผิวได้ แต่เวลาใช้ต้องระวังกันนิดนึง ทางที่ดีควรปรึกษาคุณหมอหรือเภสัชกรก่อนที่จะใช้

5. ใช้ครีมกันแดด แสงแดดทำให้ผิวของเราสูญเสียน้ำ ผิวจะขับน้ำมันออกมาเพื่อเก็บกักน้ำเอาไว้ให้มากที่สุด การทาครีมกันแดดจะช่วยให้ผิวของคุณสมดุลมากขึ้น และขับน้ำมันออกมาน้อยลง

6. ทาครีมบำรุงบ้าง บางคนคิดว่าหน้ามัน ไม่จำเป็นต้องทาครีม เราบอกเลยว่าคุณคิดผิด เพราะการที่เราผิวมันเป็นเพราะผิวขาดน้ำ เพราะงั้นอย่าลืมทาครีม

7. ทาแป้ง คุณอาจจะเถียงว่าแป้งอาจอุดตันผิวได้ แต่ถ้าคุณเลือกแป้งชนิดที่มาจากธรรมชาติแล้ว นอกจากจะไม่อุดตัน ยังช่วยดูดซับความมันระหว่างวันได้ด้วย

8. ไปพบแพทย์ ถ้าคุณปฏิบัติครบทุกวิธีที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังไม่ดีขึ้น ก็ควรไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาต่อไป
และนี่คือเคล็ดลับดีๆ ในการดูแลสิวที่เรานำมาฝากกัน




ที่มา : lovenayou.com


แป้งโฟมคืออะไร ? ใช้แล้วผิวดีขาวใสจริงหรือ...

แป้งโฟมคืออะไร ทาแล้วผิวหน้าจะเป็นอย่างไร วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลแบบเจาะลึกแน่น ๆ มาฝากกันแล้ว

          ยอมรับว่าเดี๋ยวนี้วงการบิวตี้เป็นอะไรที่อัพเดทตลอดจริง ๆ จนถึงขนาดที่ว่าบางทีก็ตามไม่ทันเลยทีเดียว และเชื่อว่าสาว ๆ หลายคนก็คงเคยได้ยินคำว่า แป้งโฟม กันมาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะคะ แต่หากใครยังไม่รู้จักว่าแป้งโฟมคืออะไร จะเหมาะกับผิวของคุณหรือไม่ ทาแล้วจะเป็นยังไง วันนี้กระปุกดอทคอมนำข้อมูลมาฝากแล้วค่ะ


จริง ๆ แล้วแป้งโฟมก็คือ ครีมกันแดดเนื้อเบา ที่มาในรูปแบบโฟมหรือเนื้อมูสนั่นแหละค่ะ แป้งโฟมจะมีหลากหลายสีให้เลือก แต่ส่วนใหญ่จะมีสีชมพูที่ใช้ได้กับทุกสีผิว ทาแล้วจะเนียนแห้งไปแบบไม่ทิ้งความมันและความเหนอะหนะไว้ แถมยังช่วยกันน้ำ กันเหงื่อ เพื่อให้หน้าขาวใสเด้งเหมือนสาวเกาหลียาวนานตลอดวันด้วย แต่หากใครมีปัญหาผิวหน้าที่ต้องการปกปิดละก็ บอกเลยว่าแป้งโฟมไม่สามารถช่วยได้นะคะ ตัวนี้จะแค่ทำหน้าที่ปรับผิวให้ขาวใสไม่วอก และช่วยกันแดดให้เท่านั้นเอง

          ที่แป้งโฟมฮอตฮิตทั่วบ้านทั่วเมืองนั้น ก็อาจจะเป็นเพราะเนื้อบางเบาเกลี่ยง่าย ใช้แล้วไม่หนักหน้า เหมาะกับอากาศร้อนระอุในบ้านเราเป็นที่สุด แต่การใช้แป้งโฟมอาจจะเสี่ยงต่อการเป็นสิวอุดตันได้ค่ะ หากสาว ๆ คนไหนใช้ก็ควรมีคลีนซิ่งล้างเครื่องสำอางไว้ใช้ด้วย ถ้าล้างให้สะอาดหมดจดทุกวัน รับรองว่าไม่มีสิวมาบุกแน่นอนค่ะ

          หาก สาว ๆ ลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแป้งโฟม ก็จะเห็นแป้งโฟมหลายแบบหลายเจ้าเลยใช่ไหมล่ะคะ ทางที่ดีควรเลือกยี่ห้อที่ไว้ใจได้ ดูแพ็กเกจ ดูว่าบอกส่วนผสมชัดเจนมั้ย และควรมี อย. รับรองความปลอดภัยด้วยจะเซฟที่สุดค่ะ ^_^





ที่มา : kapook.com

ดูแลตัวเองด้วย 6 ประโยชน์จาก 'โยเกิร์ต' สวยเป๊ะง่ายๆ ได้ทุกส่วน



อย่างที่หลายๆ คนคงทราบกันดี ว่าอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนมอย่าง จะ อุดมไปด้วยวิตามิน และสารอาหารที่ดีต่อร่างกายหลายๆ ชนิด ซึ่งก็มีประโยชน์มากๆ ใครชอบทานอยู่แล้วคงถูกใจเลยใช่ไหม เพราะเป็นอีกหนึ่งอาหารที่ควรค่าแก่การบริโภคเลยล่ะ 

แต่จริงๆ แล้ว ประโยชน์ของโยเกิร์ต ไม่ได้มาจากแค่การทานนะคะ เพราะมันทำอะไรได้มากกว่านั้น แถมยังมีคุณค่า ส่งผลให้กับร่างกายเกือบทุกส่วนเลยล่ะ ไปดูกันดีกว่าว่าจะใช้โยเกิร์ตทำอะไรกันได้บ้าง




1. กำจัดรังแค

เริ่ม จากที่ส่วนบนสุดอย่างศีรษะเลยค่ะ โยเกิร์ตนี่แหละที่จะช่วยลดอาการคัน และขจัดรังแคที่กวนใจที่เป็นสาเหตุให้หมดไปได้ โดยให้นำมาทาทั่วหนังศีรษะเลยนะ นวดเบาๆ แล้วทิ้งไว้สัก 15-20 นาที จากนั้นก็ค่อยล้างออกให้สะอาด เพียงเท่านี้เองค่ะ ทำสัก 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์นะคะสาวๆ


2. ฟันขาว

วิธี นี้ง่ายมากค่ะ แค่ทานเท่านั้นเอง เพราะโยเกิร์ตจะอุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส และสารอาหารอีกมากมายที่มีประโยชน์ ที่จะช่วยเคลือบฟัน ทำให้ฟันของเราแข็งแรง ขาวสะอาดขึ้นได้ และยังช่วยเพิ่มการปกป้องผิวฟัน ไม่ให้มีคราบเหลือง อีกทั้งยังช่วยป้องกันการมีกลิ่นปากอีกด้วยนะ หมั่นทานเป็นประจำจะยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็วเลยล่ะ

3. ลดริ้วรอย ชะลอวัย

ใคร ก็ไม่อยากมีริ้วรอยเหี่ยวย่น ทำให้ดูแก่ก่อนวัยกันใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นก็มาใช้โยเกิร์ตช่วยบำรุงผิว เพื่อชะลอวัยกันดีกว่า แค่เอาโยเกิร์ตมาผสมกับแตงกวาเข้าด้วยกัน แล้วเอามามาส์กหน้าสัก 15-20 นาที จึงค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำแบบนี้สัก 1 ครั้งต่อสัปดาห์ คุณก็จะได้ประโยชน์จากโยเกิร์ตที่จะช่วยกระชับผิว แถมยังได้ประโยชน์จากแตงกวาที่ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น และยังทำให้รูขุมขนกระชับขึ้นอีกด้วย

4. ขจัดสิวหัวดำ

สิว หัวดำ ก็เป็นอีกปัญหาที่สาวๆ คงหนักใจอยู่ไม่น้อย แต่โยเกิร์ตนี่แหละ ที่จะช่วยสาวๆ ได้ แค่นำเอามาผสมกับแป้งข้าวเจ้า ให้กลายเป็นเนื้อครีม จากนั้นก็ให้ทาไปทั่วใบหน้า นวดเบาๆ เป็นวงกลม เพื่อให้ตัวปัญหาอย่างสิวหัวดำค่อยๆ หลุดไป ง่ายๆ เท่านี้เองค่ะ

5. ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว

เซลล์ ผิวเก่าที่เป็นต้นเหตุทำให้ผิวของสาวๆ หมองคล้ำ ก็ต้องกำจัดไปเพื่อทำให้ผิวสวยอยู่เสมอใช่ไหมล่ะ ให้เอาโยเกิร์ตกับวอลนัทที่ผ่านการปั่นจนละเอียดมาแล้ว มาผสมเข้าด้วยกัน แล้วนำมาทา และนวดๆ ไปทั่วใบหน้า ซึ่งวอลนัทจะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกต่างๆ ที่ตกค้างออกไป และโยเกิร์ตจะช่วยเติมสารอาหารและความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นได้ เป็นการรวมตัวของสองสิ่งที่มีประโยชน์มากๆ

6. รักษาอาการผิวไหม้แดด

สาวๆ ที่ไปออกทริปเที่ยวทะเล หรือที่จะต้องไปเผชิญกับแดดอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้ผิวไหม้แดด สามารถใช้โยเกิร์ตช่วยรักษา และลดรอยไหม้ที่เกิดขึ้นได้นะจ๊ะ แค่นำมาผสมน้ำมันคาโมมายล์ แล้วนำมาทาที่ผิวที่ถูกเผาไหม้ ทิ้งไว้สัก 20 นาที ค่อยล้างออก ก็จะช่วยบรรเทาอาการแสบคันนั้นได้แล้วล่ะ
 
โยเกิร์ต นี่มีประโยชน์มากมายจริงๆ เลย ว่าไหมคะ ? รู้อย่างนี้แล้วก็รีบหาโยเกิร์ตมาบำรุง ดูแลตัวเองให้สวยเป๊ะกันได้แบบง่ายๆ ไปเลย หรือจะหาซื้อมาทานดับความหิว ช่วยลดความอ้วนก็ได้ด้วยนะ ดีขนาดนี้ต้องซื้อยกแพ็คมาไว้ที่บ้านแล้วล่ะเนี่ย



Cr. ประโยชน์ของโยเกิร์ตกับ 6 สูตรความงามตั้งแต่หัวจรดเท้า



15 พฤศจิกายน 2555

เทคนิคติดขนตาปลอมให้สวยเด้ง

เทคนิคติดขนตาปลอมให้สวยเด้ง






      เคล็ดลับการแต่งหน้าสไตล์หวานฉ่ำอยู่ที่ การติดขนตาปลอมจะเลือกแบบที่ยาวงอนหรือเป็นแพหนาก็แล้วแต่ชอบนะคะ ก่อนติดขนตาปลอมทุก ครั้ง ต้องนำมาทาบกับขอบตาเสียก่อน แล้วใช้กรรไกรตัดส่วนเกินออกให้พอดีกับเปลือกตา จะได้ไม่ชี้ออกมา สำหรับสาวๆ ที่เพิ่งหัดแต่งหน้าอาจจะดูยุ่งยากสักนิดนึงกับขั้นตอนนี้ เราขอแนะนำให้ใช้แหนบคีบหรือปลายพู่กันช่วยกดให้ขนตาติดทนนาน แทนการใช้นิ้วมือ  

      ลองดูนะคะสะดวกกว่ากันเยอะเลยละ ส่วนกาวที่ใช้เลือกแบบที่มีคุณภาพดีหน่อยนะ เพราะดวงตาเป็นสิ่งที่บอบบางมาก ต้องระวังเป็นอย่างมาก สาวๆ จะได้มีดวงตาสวยเด้งสะดุดตาแล้วล่ะค่ะ



ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสารเรื่องผู้หญิง ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต 

เทคนิคปัดขนตาให้สวยเด้ง

เทคนิคปัดขนตาให้สวยเด้ง



      วันนี้เรามีเกร็ดความรู้ในการปัดขนตาให้งอนสวยมาฝากสาวๆ กันค่ะ ว่ากันว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจนะคะ แน่นอนว่ายามที่ดวงตาคู่สวยของ คุณกลมโตคมเข้มอย่างสุดซึ้งนั้น ย่อมเป็นอะไรที่งดงามและโดดเด่นอยู่เสมอเลยล่ะนับว่าเป็นเสน่ห์อันชวนหลงใหล อีกทางหนึ่งที่สาวๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยล่ะค่ะ เป็นอย่างไรกันบ้างเอ่ยพร้อมที่จะสวยกันหรือยังคะ? ถ้าพร้อมแล้วก็ตามมากันเลยค่ะ

1. ถ้าแปรงปัดชุ่มไปด้วยเนื้อมาสคาร่า ให้ใช้กระดาษทิชชูซับขนแปรงก่อนจะทำให้มาสคาร่าไม่เลอะขณะปัดตาค่ะ
2. หลีกเลี่ยงการชักแปรงเข้าออกจากหลอด เพราะจะทำให้เนื้อมาสคาร่าแห้งเร็วมากๆ ทางที่ดีจะชักแปรงออกก็ต่อเมื่อคุณเริ่มจะปัดขนตานะคะ
3. ถ้าอยากให้เนื้อมาสคาร่าติดแปรงปัดมากขึ้นให้หมุนแปรงขณะที่อยู่ข้างในหลอด เท่านี้เนื้อมาสคาร่าก็จะติดขนแปรงกันอย่างทั่วถึงแล้วล่ะ
4. เวลาปัดมาสคาร่าควรปัดเคลือบขนตามากกว่า 1 ครั้ง เพื่อให้ขนตาดูหนาและยาวขึ้น ควรปัดซ้ำอีกรอบโดยปัดจากโคนตาไปถึงปลายขนตา เวลาที่จะปัดซ้ำควรรอให้มาสคาร่าที่ปัดไปครั้งแรกแห้งก่อนนะคะจึงค่อยปัดทับ ลงไปอีกที






5. การปัดมาสคาร่า ถ้าปัดขนตาล่างให้ใช้แปรงปัดไปตามแนวขวาง เพื่อไม่ให้เนื้อมาสคาร่าเลอะเกินไป ต้องใจเย็นๆ เข้าไว้นะคะอย่าใจร้อน
6. ถ้ามีรอยคล้ำที่ดวงตา ให้ปัดเฉพาะขนตาบนเพราะจะทำให้ดวงตาเปล่งประกายสดใสมากยิ่งขึ้นค่ะ
7. ถ้าใครเป็นคนตาชิด ควรปัดมาสคาร่าเฉพาะด้านหางตา ขอบตาบนและล่างด้วยค่ะ เพราะจะช่วยทำให้ดวงตาของคุณแลกลมโตอย่างสวยงามนั่นเอง
8. ส่วนคนที่มีดวงตาโต และลึกเวลาปัดมาสคาร่าควรปัดทั้งขนตาบนและล่างจากนั้นควรแปรงตาให้เรียงเป็นเส้นเพื่อความสวยงามอีกครั้งหนึ่งค่ะ
9. ส่วนคนตาเล็ก เวลาปัดมาสคาร่าให้ปัดเฉพาะขนตาบนและเน้นตรงตาด้านนอก เพราะจะทำให้ดวงตาดูโตขึ้นนั่นเองค่ะ
10. มาสคาร่าที่เปิดใช้แล้วจะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน ซึ่ง คุณจะรู้ได้เองเพราะมาสคาร่าจะแห้งเกาะกันเป็นก้อน ถ้าเป็นอย่างนี้คุณก็ควรซื้ออันใหม่มาใช้ได้แล้วล่ะค่ะ ไม่งั้นแล้วมาสคาร่าก็จะไม่มีประสิทธิภาพที่ดี เวลาปัดก็จะไม่สวยคมเหมือนตอนที่ซื้อมาใหม่ๆ นะคะ

รู้เทคนิคและวิธีดีๆ อย่างนี้กันแล้วลองนำวิธีเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กันดูนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าสวยไม่บอกจ้า



ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสารเรื่องผู้หญิง ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต  

 

เทคนิคเขียนคิ้วให้เป็นธรรมชาติ

เทคนิคเขียนคิ้วให้เป็นธรรมชาติ


      การเขียนเส้นเพื่อให้เป็นธรรมชาติก่อนอื่นเลยต้องค่อยๆ ลากดินสอตามรูปคิ้วให้เนื้อดินสอติดคิ้วเพียงแค่เขม่า อย่าเน้นน้ำหนักให้เส้นคมชัดเกินไปหรือถ้าคุณไม่มั่นใจลองทำตามวิธีนี้ดูค่ะ
 
      ก่อนอื่นเปลี่ยนจากการใช้ดินสอเขียนมาเป็นการใช้พู่กันสำหรับเขียนคิ้ว และเลือกใช้อายแชโดว์โทนสีน้ำตาล หรือเทาอมเขียว วิธีใช้คือ เพียงแค่ปัดคิ้วตามรูปด้วยพู่กันหัวตัดเฉียงที่ใช้สำหรับการเขียนคิ้วโดย เฉพาะ อย่าลากเส้นยาวเกินคิ้วจนเกินไป เพราะถ้ายังไม่ชำนาญจะทำให้เส้นดูชัดและหลอกจนเกินไปนั่นเองค่ะ

      เทคนิคอีกข้อคือ การใช้มาสคาร่าสีดำปัดตามเส้นคิ้ว หากต้องการให้คิ้วดูชัดเจนขึ้น ซึ่งเทคนิคนี้สามารถใช้ควบคู่กับเทคนิคในข้อแรกได้ด้วย ลองทำกันดูนะคะ



ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสารเรื่องผู้หญิง ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต 

สโมกกี้อายสไตล์หรู

สโมกกี้อายสไตล์หรู

 

 
      ต้องยอมรับว่าสาวๆ สมัยนี้แต่งหน้าแต่งตากันเก่งมากจะมัวแต่ปล่อยหน้าเปลือยเปล่า ให้ซีดเป็นไก่ต้มก็คงจะเอ้าท์แน่นอน คราวนี้เราเลยหยิบ Smoky Gold มาฝากสาวๆ กับสโมกกี้อายสไตล์หรูหรา เคล็ดลับอยู่ที่การแต่งสโมกกี้อายสีน้ำตาลไม่ได้เข้มจัดจนเกินไป ผสมผสานกับสีบรอนซ์ทอง เพิ่มความหรูหราดูคลาสสิค แบบฉบับผู้ดีอังกฤษที่แต่งแต้มด้วยสีทองสุดเย้ายวน ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ช่างเหมือนกับฤดูกาลนี้ ลองไปดูพร้อมกันเลยค่ะ

Step by Step
Step 1 : ใช้เมคอัพ เบสเนื้อบางทาก่อนแต่งหน้า อย่าลืมเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวหน้าด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ แล้วอำพรางรอยสิวและจุดด่างดำด้วยคอนซีลเลอร์ เน้นบริเวณรอบดวงตาเป็นจุดสำคัญปกปิดรอยคล้ำหมีแพนด้า ด้วยวิธีการใช้ปลายนิ้วค่อยๆ เกลี่ยให้ทั่วรอบดวงตา ตามด้วยฟองน้ำกดทับอีกรอบให้เนียนเรียบ เพื่อให้สีของอายแชโดว์สโมกกี้โดดเด่นและอายติดทนนานตลอดทั้งวัน จากนั้นตามด้วยแป้งฝุ่นบางๆ อีกครั้งทั่วทั้งใบหน้า

Step 2 : แต่งตา สโมกกี้อายสไตล์ Smoky Gold ด้วยอายแชโดว์สีน้ำตาลเข้ม ทาให้ทั่วบริเวณรอยพับเปลือกตาบน ค่อยๆ ไล้ให้เบาบางไล่ขึ้นไป จากนั้นหยิบอายแชโดว์สีบรอนซ์ทอง ที่ผสมประกายชิมเมอร์เกลี่ยทับบางๆ เบลนด์สีทองกับสีน้ำตาลเข้มให้กลมกลืนกัน แล้วใช้อายแชโดว์สีทองแต้มที่หัวตาอีกนิด เพิ่มความสว่างให้ดวงตาเปล่งประกาย เพียงเท่านี้ก็ได้สโมกกี้อายสีทองสุดหรูแล้วค่ะ เพิ่มความโดดเด่นให้ดวงตาสวยคมขึ้นไปอีก เพียงหยิบอายไลเนอร์สีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม เขียนเส้นบางๆ ให้ชิดแนวขนตาบน ตวัดปลายพู่กันสักนิดให้ดวงตาดูโฉบเฉี่ยว จากนั้นดัดและปัดมาสคาร่าอีก 2 ครั้ง เพิ่มวอลลุ่มความหนาให้ขนตางอนงาม





Step 3 : ไล้พวงแก้มสวยด้วยบลัชออนสีทองอ่อนๆ ที่ดูอบอุ่น เสริมให้ลุคชวนมอง ห้ามเลือกบลัชออนที่ผสมชิมเมอร์จนดูวิ้งค์เกินงามเด็ดขาดนะ เพราะจะแย่งซีนดวงตาสวย ปัดให้ดูซอฟๆ ก็เพียงพอแล้ว หรือจะเลือกใช้บลัชออนสีส้มอมพีชก็แก๋ไม่เบานะคะ

Step 4 : ถึงเวลาหยิบลิปกลอสสีนู้ดขึ้นมาใช้แล้วค่ะ ก่อนทาลิปกลอส เพื่อให้ลิปสติคติดทนนาน ลองใช้ลิปคอนซีนเลอร์ทาบางๆ ปกปิดรอยแตกและเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับริมฝีปาก จากนั้นตามด้วยลิปกลอสแต้มลงบนเรียวปากอวบอิ่ม โทนสีเบจยิ่งดูยิ่งน่ารัก เสริมให้ลุคนี้ดูหรูหราไฮโซเชียวละ

Hot item
บรอนซ์แซอร์สีน้ำตาลอมทองแมทช์กับเทรนด์ Smoky Gold ได้เป็นอย่างดี เพราะบรอนซ์เซอร์จะเสริมให้สีทองดูเรืองรองรับกับใบหน้าเปล่งประกาย ใครที่ยังไม่เคยใช้บรอนเซอร์ลองมาทำความรู้จักกันสักนิดนึงถึงเวลาจะได้หยิบ ใช้แต่งแต้มใบหน้าสวยอวบอิ่มได้ถูกวิธี
บรอนเซอร์ก็คือเนื้อแป้งที่คล้ายกับบลัชออนนั่นเอง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นโทนออกสีน้ำตาล ใช้สำหรับปัดเพิ่มมิติให้กับใบหน้า แถมยังช่วยตีกรอบให้หน้าเรียวสวยได้รูป ด้วยการปัดลงบริเวณไรผม ตีกรอบให้ทั่วใบหน้าและเสริมบริเวณโหนกแก้มให้เกิดมิติ สำหรับสาวหน้าเหลี่ยม แนะนำให้ปัดเน้นที่ส่วนกรามช่วยปกปิดเหลี่ยมให้หน้าเรียวสวยขึ้นมากทีเดียว ค่ะ



ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสารเรื่องผู้หญิง ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต   

 

อยากหน้าเด็กไม่ยากอย่างที่คิด

อยากหน้าเด็กไม่ยากอย่างที่คิด



1. ล้างหน้าด้วยออยล์ ได้ชื่อว่าออยล์ย่อมช่วยให้ผิวของคุณชุ่มชื้นแน่นอน เพราะออยล์มีกรดไลโนเลอิก ที่จะช่วยให้ผิวอุ้มน้ำได้ดีขึ้น เมื่อผิวหน้า ของเราชุ่มชื้นไม่แห้ง รอยเหี่ยวย่นก็จะไม่ถามหาแล้วค่ะ วิธีสร้างความชุ่มชื้นก็ง่ายๆ เลย แค่เรานำออยล์มาผสมกับน้ำมันมะกอก 10 มิลลิลิตรและน้ำมันสกัดจากเมล็ดแครอทอีก 2 หยด เพื่อช่วยเรียกความยืดหยุ่นของผิวหรือจะผสมกับน้ำมันสกัดจากลาเวนเดอร์ที่มี ส่วนช่วยบรรเทาอาการแสบแดงของผิวก็ได้ นวดลงบนผิวหน้าเป็นเวลา 30 วินาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น  

2. ผิวกระชับด้วยการกดจุด การกดจุดไม่ได้มีส่วนช่วยในการคลายความตึงเครียดเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นให้ผิวหน้าทำงานได้ดีและชั้นใต้ผิวสามารถสร้างคอลลาเจนของ ผิวได้อีกด้วย โดยใช้นิ้วชี้และกลางนวดวนไปมาที่หว่างคิ้วทั้งสองเบาๆ เป็นเวลา 20 วินาที ขมับ 10 วินาที จุดข้อต่อของกระดูกส่วนกราม (ด้านหน้าระดับติ่งหู) 10 วินาที และนวดคลึงกล้ามเนื้อส่วนที่ยืดออกยามคุณอ้าปากกว้างๆ อีก 5-10 วินาที ช่วยให้ผิวหน้าของเรากระชับมากขึ้นค่ะ

3. ลดน้ำตาล สาวคนไหนที่รักในความหวานอาจจะไม่ค่อยปลาบปลื้มกับข้อห้ามนี้สักเท่าไหร่ เพราะแท้ที่จริงแล้ว "น้ำตาล" คือผู้ร้ายตัวฉกาจที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในร่างกายของเรา แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญถูกทำลายแบบนี้ ผิวหนังของคุณสาวๆ ก็ต้องเหี่ยวก่อนวัยอันควรแน่นอน ใครที่อยากเป็นสาว (ติด) หวาน จริงๆ แนะนำให้เติมความหวานจากผลไม้แทนจะดีต่อผิวพรรณและสุขภาพมากกว่าค่ะ

4. สวยด้วยการสูดลมหายใจ ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าช้าๆ นับ 1-4 แล้วกลั้นลมหายใจไว้ จากนั้นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ให้ไหล่ของเราลู่ลง หน้าผากจะคลายความย่น ใบหน้าเราก็จะไม่เป็นรอยเหี่ยวย่น เหมาะมากๆ สำหรับสาวขี้กังวลทั้งหลายค่า

5. นอนไม่ดี ก็ย่นได้ คิดจะเป็นสาวหน้าตึงดึ๋งดั๋งต้องระมัดระวังทุกอิริยาบถ ขนาดเวลานอนสาวๆ ก็ต้องมีเคล็ดลับในการนอนอีกด้วยล่ะค่ะ ง่ายๆ แค่ปรับเปลี่ยนปลอกหมอนที่เราใช้ เปลี่ยนจากปลอกหมอนเนื้อผ้าทั่วไปให้เป็นหมอนผ้าไหมหรือผ้าซาติน เพราะผ้าทั้งสองชนิดนี้มีส่วนช่วยให้ครีมบำรุงติดอยู่บนผิวหน้าได้ดี และยังป้องกันการเกิดรอยยับย่นบนใบหน้าหลังจากที่เราตื่นมาในตอนเช้าด้วยค่ะ





6. ดื่มน้ำผลไม้ ช่วยได้ เรื่องนี้สาวๆ ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าผลไม้นั้นประกอบไปด้วยวิตามินมากมายที่ดีต่อผิวพรรณของ เรา การที่เราดื่มน้ำผลไม้สดนอกเหนือจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในแต่ละ วัน ทำแบบนี้ติดต่อกันอย่างน้อย 1 สัปดาห์ สาวๆ จะรู้สึกว่าผิวพรรณของเรานั้นมีสุขภาพดีขึ้น เปล่งปลั่งและนุ่มนวล แต่จะให้ดีเราควรซื้อมาคั้นเองสดๆ ที่บ้าน เพราะน้ำผลไม้สำเร็จตามท้องตลาดมักจะผสมน้ำตาล สารกันบูดนั่นเองค่ะ

7. เลือกขนมขบเคี้ยวสักนิดสวยไม่ยาก เราไม่ได้กำลังสนับสนุนให้สาวๆ ทานอาหารว่างหรือขนมจุกจิกประเภทอบกรอบอะไรนะคะ แต่สาวๆ เรามักจะปล่อยให้ปากว่างไม่ค่อยได้ เลยอยากแนะนำให้เลือกทานของจุกจิกที่มีประโยชน์อย่าง "ถั่วอัลมอนด์" ที่ช่วยเติมไขมันที่มีประโยชน์และวิตามินอีที่เป็นตัวช่วยในการปกป้อง ผิวจากรังสียูวี "ดาร์กช็อกโกแลต" (แบบที่มีโกโก้ 72% ขึ้นไป) เพราะมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น และ "บลูเบอร์รี่" ที่อุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ และวิตามินซีช่วยเสริมการทำงานคอลลาเจนในชั้นผิวของเราให้ดีขึ้นด้วย

     แม้ว่าของดีและฟรีไม่มีในโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าสาวๆ จะต้องลงทุนเสียเงินมากมายนะคะ แค่ตั้งใจให้แน่วแน่ อดทนสักหน่อย รับรองได้เลยว่าคุณจะได้ผิวพรรณสวยๆ กลับมาเหมือนตอนวัยกระเตาะ แถมยังมีสุขภาพดีอีกด้วย



ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต 

10 เคล็ดลับเพื่อผิวใสสุขภาพดี

10 เคล็ดลับเพื่อผิวใสสุขภาพดี


 


     สาวๆ ที่ฝันอยากจะมีผิวพรรณสวยใสอย่างซุปตาร์ดาราดังมีความหวังแล้วค่ะ เพราะวันนี้เรามีเคล็ดลับแบบจัดเต็มมาฝากสาวๆ กันค่ะ คราวนี้ล่ะค่ะผิวสวยใสสุขภาพดีจะต้องเป็นของเราค่ะ

1. ผิวชุ่มชื้นด้วยน้ำ แม้ว่าจะประโคมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้แก่ผิวมากมายจนแทบจะเรียกว่าอาบ ผิวของคุณก็อาจจะไม่นุ่มนวลอย่างที่คิด เพราะผิวพรรณของเราก็มีความต้องการน้ำอยู่มากเช่นกัน ด้วยโอกาสการสูญเสียความชุ่มชื้นที่เป็นไปได้ตลอดเวลา คงไม่มีสิ่งใดช่วยทดแทนความชุ่มชื้นที่ขาดหายได้ดีเท่ากับน้ำสะอาด เพียงคุณดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว ก็เพียงพอแล้วค่ะ

2. ขยับแข้ง ขยับขา สาวๆ จอมขี้เกียจฟังทางนี้ด่วนๆ เลยค่า ใครที่ชอบเอาแต่นอนเพราะคิดว่าการพักผ่อนที่เพียงพอก็ช่วยให้ผิวดีขึ้นได้ ขอบอกว่าผิดมหันต์ เพราะการที่เราได้ลุกมาวิ่งหรือเต้นแอโรบิค ขยับแขนขยับขาบ้างนั้นจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตได้ดี ทำให้ผิวพรรณของคุณเปล่งปลั่งและสดใสได้อย่างใจแน่นอน

3. เติมอาหารผิว สาวคนไหนที่อยากผิวสวยแต่ไม่ชอบทานผัก ผลไม้ อาจจะต้องหน้าเบี้ยวหน้าบูดกับเคล็ดลับข้อนี้สักหน่อย แต่การเพิ่มวิตามินให้กับผิวพรรณด้วยการรับประทานผักใบเขียวและผลไม้เป็น ประจำทุกวันนั้น ผิวของคุณจะสดใสเป็นธรรมชาติ แถมไม่ทำให้คุณต้องเสี่ยงกับการสะสมของสารต่างๆ ที่มีอยู่ในอาหารเสริมอีกด้วย

4. หลีกเลี่ยงการสัมผัส เข้าใจนะคะว่าผู้หญิงเรานั้นต้องคอยสำรวจความพร้อมของใบหน้าอยู่เสมอ ทำให้ต้องจับต้องแตะผิวหน้าตลอดเวลา แต่เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะคะว่ามือเราสะอาดพอที่จะสัมผัสใบหน้าได้ วันๆ จับนู่นนี่นั่นจนไม่รู้ว่าเชื้อโรคอะไรติดมือเราอยู่บ้าง ขอแนะนำว่าถ้าคุณสาวๆ จำเป็นต้องสัมผัสหน้าตัวเองจริงๆ อย่าลืมล้างมือให้สะอาดก่อนจะดีมากค่ะ

5. พักผ่อนผิ เวลาที่เรานอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอใช่ว่าร่างกายของเราจะอ่อนแอเท่านั้น ความแข็งแรงของผิวพรรณก็เรียกได้ว่าลดน้อยลงเหมือนกัน ถ้าคุณสาวๆ อยากให้ผิวพรรณดูสดใสเปล่งปลั่งควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ลองสังเกตได้ง่ายๆ เลยว่าเวลาตื่นเช้ามาใบหน้าคุณจะดูอิ่มเอิบอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว




6. ให้ผิวหายใ โบ๊ะหน้ามาทั้งวันแล้วพอกลับมาถึงบ้านควรใช้น้ำยาเช็ดเครื่องสำอางเช็ดสิ่ง ต่างๆ บนใบหน้าของคุณออกให้หมด เพื่อชำระล้างความสกปรกจากทั้งฝุ่นละออง ทั้งเครื่องสำอางที่คุณพอกลงบนหน้ามาทั้งวัน เพราะสิ่งเหล่านี้นี่แหละที่จะทำให้ใบหน้าของคุณหมองคล้ำและเกิดสิวได้

7. บำรุงด้วยครีม เคล็ดลับนี้คงไม่มีสาวคนไหนไม่คุ้นเคย แต่อาจจะมีบ้างที่ปล่อยปละละเลยทำบ้างไม่ทำบ้างนานๆ ทีอาจจะไม่เห็นผลอะไร แต่พอบ่อยครั้งผิวพรรณของคุณก็จะไม่เปล่งปลั่งขาวใสเหมือนเดิม ไม่เพียงแค่ต้องขยันบำรุงเป็นประจำเท่านั้น แต่ต้องเลือกสรรโลชั่นที่มีความละเอียดอ่อนไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพื่อไม่ให้ผิวของเราเกิดการแพ้ระคายเคืองอีกด้วย

8. กำจัดเซลล์เก่า บางทีทั้งทาทั้งพอกบำรุงแทบตายแต่เหตุไฉนผิวไม่ใสสักที นั่นเป็นเพราะว่าเราไม่เคยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปบ้างยังไงล่ะคะ ลองทำทรีตเม้นท์เพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เหมือนกับเป็นการเปิดรูขุมขนก่อนที่จะรับการบำรุงด้วยโลชั่น แค่นี้ผิวของคุณก็ขาวเนียนใสเปล่งปลั่งแล้ว

9. อุปกรณ์แต่งหน้า ต้อง สะอาด อย่างที่บอกไว้ในเคล็ดลับข้อแรกๆ ว่ามือที่ไม่สะอาดเวลาไปสัมผัสใบหน้าอาจทำให้เกิดสิวบรรดาอุปกรณ์แต่งหน้า ทั้งหลายก็เช่นกัน ควรทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคที่ทำให้ผิวเราระคายเคืองได้

10. สวยจากข้างใน ขอเพียงแค่คุณสาวๆ รู้จักปล่อยวางอย่าเปิดโอกาสให้ความเครียดต่างๆ เข้ามาในหัวสมอง เพราะจะมีผลกระทบทั้งต่อร่างกายและผิวพรรณของคุณเอง รวมไปถึงการเข้านอนแต่หัวค่ำและนอนในท่าหงายเพือไม่ให้ใบหน้ายับยู่ยี่หรือ มีถุงใต้ตา



ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต  

แต่งแต้มเสน่ห์ให้กับดวงตาคู่สวยให้เปล่งประกาย

แต่งแต้มเสน่ห์ให้กับดวงตาคู่สวยให้เปล่งประกาย


     สาวทุกคนคงไม่ปฏิเสธที่จะมีดวงตาคู่สวยอยู่บนใบหน้า การแต่งแต้มสีสันและเพิ่มมิติให้กับดวงตาจึงเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ยิ่งตาสวยก็ยิ่งมีเสน่ห์และยิ่งทำให้การแต่งหน้าสมบูรณ์แบบอีกด้วย แล้วจะมัวพูดพร่ำทำเพลงอยู่ทำไมกันละคะ มาเริ่มทำความรู้จักกับเมคอัพสำหรับดวงตาและเคล็ด(ไม่)ลับที่จะทำให้ดวงตาของคุณโฉบเฉี่ยวกันดีกว่า

     Eyeshadow การใช้สีอายแชโดว์กำหนดลุคในแต่ละวันของคุณเป็นไอเดียที่ดีที่สุด อายแชโดว์จะช่วยเพิ่มสีสันให้ดวง ตาสดใส แต่สาวๆ ต้องรู้จักเลือกให้เหมาะกับบุคลิกตัวเองด้วยนะ หากต้องการสวยเปล่งประกายให้ใช้เฉดสีที่ร้อนแรงช่วยขับสีผิวอย่างสีเหลือง ส้ม หรืออยากปรับให้ลุคดูผ่อนคลายลองใช้สีฟ้าขาว แต่หากคุณเป็นสาวหวานเราขอแนะนำสีชมพูอ่อนหวาน และสำหรับสาวมั่นอย่าลืมอายแชโดว์สีเมทัลลิกที่ทำให้ลุคดูโฉบเฉี่ยว ไม่ควรปล่อยให้ดวงตาเปลือยเปล่า เพราะอยากให้ใบหน้าดูใสเป็นธรรมชาติ ลองใช้อายแชโดว์สีนู้ดเนื้อครีมทาให้ทั่วเปลือกตาแล้วเกลี่ยให้เนียน รับรองสวยกว่าดวงตาจืดชืดแน่นอนค่ะ

     Eyeliner ยุคนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักอายไลเนอร์แล้วละ เมคอัพที่สาวๆ ทุกคนต้องมีติดไม้ติดมือไว้ อันที่จริงอายไลเนอร์ไม่ได้มีแต่แบบน้ำเท่านั้น ยังมีแบบเนื้อเจลและครีมที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับสาวมือใหม่ขอแนะนำให้ใช้ดินสอเขียนคิ้วร่างเส้นบางๆ ก่อนเขียนทับด้วยอายไลเนอร์เส้นบางชิดขอบตา ทำให้ดวงตาคมชัด ลองตวัดปลายให้เส้นเรียวโฉบเฉี่ยวที่ปลายหางตาดูซิคะ เปรี้ยวเก๋สุดๆ ไปเลยละ แต่ถ้าคุณเป็นสาวหมวยต้องเขียนให้เส้นหนากว่าปกติ จะทำให้ตาของคุณกลายเป็นสองชั้น เห็นมั้ยล่ะคะว่าเมคอัพชิ้นนี้วิเศษมากๆ ไม่มีไม่ได้แล้วละ





     Mascara มาสคาร่าที่เราคุ้นเคยมักเป็นสีดำที่เข้าได้กับทุกเทรนด์การแต่งหน้า แต่งสีสันแปลกๆ อย่างสีม่วงหรือน้ำตาลก็ช่วยเนรมิตให้ดวงตาของคุณโดดเด่นได้เช่นกันนะ ลองเปลี่ยนสไตล์ให้ดูสวยผิดหูผิดตาไปบ้างก็ดี ส่วนวิธีการปัดมาสคาร่าควรดัดและปัดอย่างนั้น 2 ครั้ง จะทำให้ขนตาคุณงอนงามรวมทั้งสวยเด้งตลอดทั้งวันอีกด้วย นอกจากนี้การปัดตั้งแต่โคนจรดปลายยังช่วยเพิ่มความหนาให้กับขนตาได้ดีที เดียวค่ะ

     Eyelashes ขนตาปลอมที่มีให้เลือกหลากหลายแบบ ทั้งแบบช่อที่ดูเป็นธรรมชาติ แบบแพหนาที่เพิ่มความหรูหราหรือแบบประดับประดาไปด้วยคริสตัลและขนนก ที่เหมาะกับงานปาร์ตี้แสนสนุกยามค่ำคืน เพียงแค่คุณติดก็จะทำให้ดวงตาดูโดดเด่นจนกลายเป็นจุดสนใจแน่นอนค่ะ ก่อนติดอย่าลืมนำมาวัดกับแนวขนตาจริงด้วยนะ หากเกินต้องตัดออกให้พอดี แล้วติดด้วยกาวสำหรับติดขนตาปลอมเท่านั้นนะ แต่ถึงยังไงก็ต้องระมัดระวังอย่าให้เข้าตาเชียวละ 


ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสารเรื่องผู้หญิง ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

แพ้เครื่องสำอาง !!

แพ้เครื่องสำอาง !!

สาวๆ คงจะไม่ปฏิเสธว่าสมัยนี้เครื่องสำอางเข้ามามีบทบาทมาก จะสวยเริ่ด เชิดเป๊ะ ก็ต้องแต่งเสริมเติมสวยกันหน่อย แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือการแพ้เครื่องสำอาง

      มารู้เกี่ยวกับการแพ้เครื่องสำอาง เพื่อจะได้ระมัดระวัง และเลือกใช้เครื่องสำอางได้อย่างถูกต้อง

      การแพ้เครื่องสำอางพบได้บ่อยในกรณีที่ซื้อเครื่องสำอางยี่ห้อใหม่มาใช้ แล้วเกิดอาการที่คิดว่าแพ้เครื่องสำอางขึ้น ส่วนใหญ่ก็เพียงแค่เลิกใช้เครื่องสำอางยี่ห้อนั้นไป โดยไม่ได้ไปพบแพทย์ ทำให้ไม่ทราบว่าจริง ๆ แล้วตัวเองแพ้สารใดในเครื่องสำอางกันแน่
 

      ราวครึ่งหนึ่งของการแพ้เครื่องสำอางเกิดขึ้นบนใบหน้ารวมทั้งบริเวณเปลือกตา และ 80% พบในเพศหญิง ซึ่งส่วนประกอบ 3 ตัวหลักในเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ได้แก่ น้ำหอม สารกันบูด และน้ำยาย้อมผม






การทดสอบว่าแพ้เครื่องสำอาง.. 

      การที่เราจะวินิจฉัยได้อย่างถูกต้องว่า ผื่นที่ผิวหนังนั้นเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง ก็โดยการทดสอบทางผิวหนังที่เรียกว่า Patch Test โดยการทำสารที่สงสัยมาแปะติดที่ผิวหนังแล้วตรวจดูในเวลาต่อมาว่ามีผื่นเกิด ขึ้นหรือไม่ในบริเวณนั้น

      การทดสอบ Patch Test นี้ทำได้หลายวิธี วิธีง่าย ๆ คือ นำเครื่องสำอางที่คิดว่าเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดอาการแพ้มาทากับผิวหนังโดย ตรง บริเวณที่นิยมใช้คือ บริเวณข้อพับแขน โดยการทาเครื่องสำอางบริเวณนั้นวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 1 สัปดาห์ แล้วดูว่ามีผื่นเกิดขึ้นบริเวณที่ทาหรือไม่

      วิธีทดสอบง่าย ๆ ด้วยตนเองอีกวิธีหนึ่ง ทำโดยการงดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด เมื่ออาการผิวหนังอักเสบหายแล้ว ให้เริ่มใช้เครื่องสำอางใหม่ทีละตัวเป็นระยะ ๆ ไป ถ้ามีผื่นเกิดขึ้นให้ลองหยุดใช้เครื่องสำอางตัวสุดท้ายที่ใช้ ถ้าอาการหายไป ก็น่าจะเป็นเครื่องสำอางตัวสุดท้ายที่เป็นสาเหตุ หลังจากที่ทดลองได้ผลแล้วว่าแพ้เครื่องสำอางตัวใด ควรงดใช้เครื่องสำอางทุกชนิดต่อไปอีก 2 - 6 สัปดาห์ แล้วจึงกลับมาใช้เครื่องสำอางที่ไม่แพ้ได้ใหม่

      การทดสอบแบบที่ละเอียดมากกว่าที่กล่าวมานี้ จะทำโดยการทดสอบหาสารเคมีซึ่งเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง เพื่อตรวจสอบดูว่าจะแพ้สารตัวใดในเครื่องสำอางชนิดนั้น ๆ ซึ่งวิธีนี้จะมีประโยชน์ คือ ต่อไปถ้าเราจะเลือกใช้เครื่องสำอางอีก ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมีตัวที่เราแพ้ได้ การทำ Patch Test แบบนี้ ใช้สารเคมีตัวที่สงสัย ในความเข้มข้นที่เหมาะสม มาทาบนหลังผู้ป่วย แล้วใช้เทปปิดทับไว้ ทิ้งไว้ 2 วัน กลับมาอ่านผล โดยดึงเอาเทปออก แล้วตรวจดูผิวหนังว่ามีผื่นหรือตุ่มน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นบ้างหรือไม่ ที่ตำแหน่งของสารเคมีตัวใด ซึ่งจะบอกได้ว่าผู้ป่วยแพ้สารเคมีตัวใดบ้าง





อาการแพ้เครื่องสำอาง   

      ปัญหาที่หลายคนสงสัย คือ อาการอย่างไรจึงจะเรียกว่าเป็นการแพ้เครื่องสำอาง ซึ่งจะทำให้ระมัดระวังตัวหากมีอาการแพ้เกิดขึ้น

      อาการกลุ่มแรก ของการแพ้เครื่องสำอาง คือการที่ผู้ป่วยใช้เครื่องสำอางแล้วรู้สึกด้วยตนเอง เช่น อาการปวดแสบปวดร้อน อาการคัน ปกติอาการเหล่านี้จะเป็นช่วงสั้น ๆ ไม่เกิน 10 นาที
 


      อาการกลุ่มต่อมา เป็นอาการที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หลาย ๆ คนมีความเชื่อว่าคนผิวขาวจะมีโอกาสแพ้เครื่องสำอางได้ง่ายกว่าคนผิวคล้ำ ที่จริงก็ไม่เสมอไปนัก คนผิวดำเช่นพวกนิโกร ก็มีอาการแพ้เครื่องสำอางได้เช่นกัน บริเวณของร่างกายที่จะแพ้เครื่องสำอางได้มากที่สุด คือ บริเวณใบหน้าเพราะผิวหนังบริเวณนั้นบางที่สุด อาการแพ้ที่แสดงให้เห็นด้วยตาแบบนี้ อาจเห็นเป็นตุ่มน้ำสีแดง เล็ก ๆ ผิวหนังอักเสบแดง หรือเป็นปื้นนูนแบบลมพิษ
 


      ที่น่าสนใจคือ การแพ้เครื่องสำอางมักจะก่อให้เกิดรอยดำบนใบหน้า น้ำหอมจะมีสารเคมีที่เมื่อโดนแสงแล้วจะกระตุ้นให้เกิดการแพ้แสงแดด เห็นเป็นรอยดำบริเวณที่ทาน้ำหอม เช่น ซอกคอ หลังฝ่ามือ หรือในคนที่ชอบใช้น้ำหอม โอเดอร์โคโลญจน์ลูบหน้า จะเห็นเป็นปื้นดำที่หน้าได้เช่นกัน ในบางประเทศพบว่าการใช้ยารักษาฝ้าที่มีสารไฮโดรควิโนนความเข้มข้นสูง ๆ จะก่อให้เกิดปื้นดำบนใบหน้าได้ คือนอกจากฝ้าจะไม่หายแล้วยังเกิดรอยดำใหม่ขึ้นบนใบหน้าด้วย ฉะนั้นคนที่ชอบใช้ครีมรักษาฝ้าด้วยตนเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ ควรจะต้องระวังผลแทรกซ้อนนี้

       เครื่องสำอางที่ใช้ที่เล็บก็อาจทำให้เกิดการอักเสบเป็นหนองรอบเล็บได้ รวมทั้งทำให้เล็บผุกร่อนและเปลี่ยนสีได้
 

       เครื่องสำอางพวกน้ำยาดัดผมและน้ำยายืดผม จะมีคุณสมบัติทำให้ไดซัลไฟด์บอนด์ของเส้นผมแตกตัวออก การใช้เครื่องสำอางประเภทนี้จึงอาจทำให้เส้นผมเปราะหักได้ เส้นผมที่อ่อนแออยู่แล้ว เช่น เส้นผมที่ได้รับการดัดมาแล้ว ยืดมาแล้ว ถูกย้อมหรือถูกกัดสีมาแล้ว หรือเส้นผมที่ถูกแสงแดดมาก ๆ หรือถูกสารคลอรีนมาก ๆ จะยิ่งเปราะ หักได้ง่ายกว่าเส้นผมปกติ

       เครื่องสำอางทำให้เกิดสิวได้ ในท้องตลาดปัจจุบันเครื่องสำอางหลายชนิดมีส่วนประกอบของสารที่ก่อให้เกิดสิว ได้ จึงไม่แปลกเลยที่จะเห็นคนที่อายุ 30 - 40 ปี ยังคงเป็นสิวอยู่ ทั้ง ๆ ที่สิวโดยปกติแล้วจะเป็นในช่วงวัยรุ่น มีการทดลองใช้เครื่องสำอางทาหูกระต่าย พบว่าหูกระต่ายมีตุ่มสิวขึ้นมาได้เช่นกัน ที่น่าสนใจกว่านั้นพบว่าการทดลองเกี่ยวกับการเกิดสิวนั้น ยังไม่ได้มาตรฐานพอที่จะยึดถือได้ เครื่องสำอางที่อ้างว่าไม่ก่อให้เกิดคอมมีโดน (คอมมีโดน คือ ต้นกำเนิดของสิว) เมื่อใช้ ๆ ไปก็พบว่าทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน


ที่มา...newunewlook.com 
 

กินอะไรให้อกบึ้ม!

กินอะไรให้อกบึ้ม!






สาว ๆ หลายคนอาจจะบอกว่า อกหักเรื่องเล็ก แต่อกเล็กเรื่องใหญ่...ถ้าอยากอัพคัพไม่ใช่เรื่องยาก แค่เลือกอาหารการกิน

เทรนด์อกอึ๋มกำลังมา สาว ๆ คนไหนไม่อยากเจ็บตัวกับการตบ การนวด ผ่าตัดศัลยกรรม หรืออึดอัดกับชุดชั้นในฟองน้ำหนา ๆ มาให้อาหารช่วยให้หน้าอกใหญ่ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติกันดีกว่า

ผักและผลไม้สด
  ผักและผลไม้สด ๆ มีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ ช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น หน้าอกก็เลยอึ๋มขึ้น แถมถ้าเป็นพวกมะเขือเทศ สตรอว์เบอร์รี เชอร์รี่ ที่อุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนต์ก็จะช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นด้วย เรียกว่าได้ประโยชน์ด้านความสวยความงามกันสองต่อเลยทีเดียว

 ถั่วทุกชนิด
ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง หรืออัลมอนด์ ล้วนแต่เต็มไปด้วยโปรตีน วิตามินอี และบี ซึ่งจะช่วยให้หน้าอกคุณขยายขนาดขึ้นได้ แล้วยังมีกรดไลโนเลอิกที่ช่วยให้หน้าอกเต่งตึง และชะลอการหย่อนคล้อยของหน้าอกอีกด้วย

น้ำมะพร้าว
เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่ยิ่งมีมากหน้าอกก็ยิ่งใหญ่ และถ้ามีน้อยเกินร่างกายก็ยังสร้างฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนมายับยั้งการเจริญ เติบโตของหน้าอกเสียอีก สาว ๆ ที่อยากอกใหญ่ต้องเพิ่มเอสโตรเจนเข้าไว้นะจ๊ะ และน้ำมะพร้าวถือเป็นแหล่งเอสโตรเจนชั้นยอดเลยทีเดียวล่ะ

ไข่
อาหารจานไข่ยังเป็นจานเด็ดตลอดกาล ก็ไข่น่ะเต็มไปด้วยโปรตีนที่จะเข้าไปซ่อมแซมเนื้อเยื่อของทรวงอกที่สลายไป ตามกาลเวลาให้กลับมาแข็งแรง หน้าอกของสาว ๆ จะได้สวยได้ทรงยังไงล่ะ 
 
ปีกไก่  
ไก่ก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมที่ดีต่อร่างกายแล้วก็หน้าอกของคุณ โดยเฉพาะส่วนปีกยิ่งอุดมไปด้วยคอลลาเจนที่ว่ากันว่า หากรับประทานบ่อย ๆ จะทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นได้ แต่ก็ต้องระวังด้วยนะ เพราะเคยมีข้อสงสัยกันว่าที่หน้าอกบิ๊กไซส์เพราะปีกไก่นั้น มาจากสารเร่งโตที่ตกค้างอยู่ในปีกไก่หรือเปล่า...อันนี้ไม่ขอคอนเฟิร์มนะคะ เพราะเรื่องสารเร่งนี่ยังไม่เห็นมีใครออกมายืนยันจริงจังสักที


ที่มา...Lisa 

3 สไตล์ ความหอม แบบ สาวยุคใหม่


3 สไตล์ ความหอม แบบ สาวยุคใหม่




พูดถึง "น้ำหอม" สาวๆ หลายคนคงจะได้กลิ่นหอมในแบบที่ตัวเองชอบลอยกรุ่นมาแตะจมูกได้โดยไม่ต้องจินตนาการมาก แต่นอกจากความหอมจากน้ำหอมในแบบเดิมนั้นแล้ว สาวๆ รู้ไหมคะว่า ยุคนี้เรามีอะไรที่มากกว่าความหอมมาอัพเดทให้สาวยุค 2012 ได้อินเทรนด์กันว่า ต้องทำยังไงเราถึงจะกลายเป็นสาวยุคใหม่ที่หอมครบทั้ง 3 สไตล์ได้ ไปดูกันเลยค่ะ

- หอมสไตล์สาวผิวนุ่ม

ลองเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ให้กลิ่นหอมไปด้วย ยิ่งหากเป็นกลิ่นหอมจำพวกดอกไม้นานาชนิดผสมผสานเข้ากันแล้วจะเพิ่มความสดใส มีชีวิตชีวาจากภายในสู่ภายนอกให้สาวๆ เผยผิวได้อย่างมั่นใจ

- หอมสไตล์สาวพราวเสน่ห์

ลองเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นหอมของ แคสซีส พีช หรือ เบอร์รี่ป่า อาจเป็นน้ำหอมกลิ่นพีชอ่อนๆ หรือเป็น สเปรย์ที่มีกลิ่นหอมธรรมชาติอย่างพีชก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวที่มีชีวิตชีวา สดชื่น มีเสน่ห์แบบที่ใครๆก็อยากเข้าใกล้

- หอมสไตล์สาวมั่นใจ

ลองเลือกผลิตภัณฑ์ที่ให้ความหอมแบบที่สามารถปกป้องกลิ่นกายได้ยาวนานและที่สำคัญต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผิวใต้วงแขนแห้งสบายได้ นอกจากหอมแล้วความสบายจะช่วยให้คุณมั่นใจคูณสอง สนุกกับกิจกรรมทั้งวันได้อย่างมั่นใจไม่กังวล



แค่นี้คุณก็กลายเป็นสาวยุคใหม่ที่มีความหอมแบบไม่ตกยุคในสไตล์คุณได้ง่ายๆ หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้นลองมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีครบถ้วนที่กล่าวมาด้านบนอย่าง เรโซนา สเปรย์ ที่พัฒนาความหอมมากลายเป็นสเปรย์ระงับกลิ่นกายที่ให้กลิ่นหอมสดชื่นได้ทั้งวันที่สามารถใช้ทดแทนน้ำหอมได้เลยในทีเดียว นอกจากจะได้กลิ่นหอมที่ยาวนานเหมือนใช้น้ำหอมแบรนด์ดังสไตล์สาวยุคใหม่แล้วยังปกป้องกลิ่นและระงับกลิ่นกายให้แห้งสบายนานตลอดวัน และที่สำคัญไม่มีส่วนประกอบจากแอลกอฮอล์ให้ระคายผิวอีกด้วย

เรียกได้ว่า หอมยาวนาน ปกป้องให้คุณแห้งเบาสบาย แล้วยังให้กลิ่นหอมที่ทำให้คุณกลายเป็นสาวยุค 2012 ได้อย่างเต็มตัวขนาดนี้ แล้วสาวๆ จะมัวฉีดน้ำหอมแบบเดิมๆ อยู่ทำไม ลองเปลี่ยนมาหอมดับเบิ้ลแบบเรโซนาสเปรย์กันเถอะค่ะ

6 สูตร มาส์กหน้า


6 สูตร มาส์กหน้า

วันพาคุณผู้หญิงมาปรณิบัติผิวด้วยมาส์กหน้าอย่างไรได้ผล เพื่อให้ผิวของคุณได้รับสารบำรุงอย่างล้ำลึกและเพื่อเป็นการช่วยให้ผิว ของคุณได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่อีกด้วยค่ะ หากว่าคุณ มาส์กหน้า อย่างสม่ำเสมอผิวของคุณก็จะเนียนนุ่มสดใสและมีชีวิตชีวาอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะค่ะ สูตรมาส์กหน้า ต่อไปนี้ควรทำอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ค่ะ



1.มาส์กหน้าสูตรน้ำผึ้ง
ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียวนวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพักศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออกให้สะอาด



2.มาส์กหน้าสูตรแอปเปิ้ล
ปอกแอปเปิ้ลคว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจนเข้ากันดีแล้ว นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้าง ตามด้วยน้ำสะอาดอีกที



3.มาส์กหน้าสูตรแตงโม
ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้าแล้วใช้ผ้าคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น



4.มาส์กหน้าสูตรไข่ขาว
ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่มจุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หรือพอไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็งแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น



5.มาส์กหน้าสูตรมะเขือเทศ
ฝานมะเขือเทศชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็นเช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด



6.มาส์กหน้าสูตรโยเกิร์ต
สำหรับทุกสภาพผิว โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/2 ถ้วย น้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวคั้นสดๆ 1 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมให้เข้ากันแล้วพอกทั้งหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึกและบำรุงผิว ให้ชุ่มชื้น



ข้อควรระวัง 
หากมีอาการคันหรือระคายเคืองระหว่างการมาส์กหน้าให้หยุดขั้นตอนการทำแล้วรีบล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดทันที

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Woman Plus ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

เป็นสิวรอบปากทำไงดี? วิธีรักษา "สิวรอบปาก" อยู่นี่แล้ว!


เป็นสิวรอบปากทำไงดี? วิธีรักษา "สิวรอบปาก" อยู่นี่แล้ว!

เป็นสิวรอบปากทำไงดี? วันนี้เรามี วิธีแก้ "สิวรอบปาก" มาฝากคุณผู้หญิงและทุกคนที่มีปัญหา สิวรอบปาก ค่ะ สำหรับคำถามว่า เป็นสิวรอบปากทำไงดี? ขอตอบแบบนี้นะค่ะ สิวรอบปากเกิดจากหลาย ๆ สาเหตุที่บางครั้งกิจวัตรประจำวันของคุณก็มีส่วนทำให้เกิด สิวรอบปาก ได้ค่ะ ดังนี้วันนี้เราเลยจะพาคุณผู้หญิงมารู้จักกับ วิธีรักษาสิวรอบปาก อย่างง่าย ๆ แบบเบื้องต้นกันสักหน่อยด้วยค่ะ รับรองว่า วิธีรักษาสิวรอบปาก นี้ต้องช่วยคุณ ๆ ได้อย่างเยอะมาก ๆ เลยค่ะ เอาล่ะค่ะใครเป็นสิวรอบปากก็มาทางนี้เลยนะจ๊ะ



วิธีรักษา "สิวรอบปาก"

สิ่งที่อาจเป็นไปได้ก็คือ ลิปกลอสของคุณอาจเป็นต้นตอของปัญหาสิวรอบปาก เนื่องจากมันสามารถอุดตันรูขุมขนบนผิวรอบริมฝีปากได้ พยายามใช้ลิปกลอสสีอ่อนใสเนื่องจากมีเม็ดสีน้อยกว่า จึงมีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขนน้อยกว่าด้วยและลองมองหาแบบที่มีส่วนผสมหลักที่ระคายเคืองต่อผิวน้อยกว่า อย่างเช่น แพนธีนอลหรือน้ำมันมะกอก แต่ถ้าการเปลี่ยนลิปกลอสไม่ช่วยให้ดีขึ้น สาเหตุอาจมาจากอย่างอื่น อย่างเช่น การใช้โทรศัพท์ที่สกปรกหรือน้ำมันจากอาหารมัน ๆ ที่ตกค้างอยู่รอบริมฝีปาก พยายามหลีกเลี่ยงต้นเหตุดังกล่าวและขจัดสิวด้วยการทาโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกรอบ ๆ ขอบปากทุกครั้งที่ล้างหน้า เพียงเท่านี้ก็จะลดอาการสิวรอบปากได้แล้วค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

วิธีเลือกโฟมล้างหน้า "ให้เหมาะกับสภาพผิวหน้า"


วิธีเลือกโฟมล้างหน้า "ให้เหมาะกับสภาพผิวหน้า"


วันนี้เรามีเคล็ดลับน่ารู้เกี่ยวกับวิธีเลือกโฟมล้างหน้ามาฝากกันค่ะ คงจะไม่มีสาวๆ คนไหนกล้าปฏิเสธหรอกใช่ไหมค่ะว่าไม่เคยใช้โฟมล้างหน้ามาก่อน แต่จะมีสักกี่คนที่จะสามารถเลือกโฟมล้างหน้าให้เหมาะกับสภาพผิวหน้าของคุณได้ วันนี้เราก็เลยได้นำเอา วิธีเลือกซื้อโฟมล้างหน้า มาแนะนำกันค่ะ การรู้ วิธีเลือกโฟมล้างหน้า ให้เหมาะกับสภาพผิวก็เป็นอีกหนึ่งความรู้ที่สาวๆ ทั้งหลายควรให้ความสนใจ สำหรับวิธีเลือกโฟมล้างหน้าจำเป็นที่จะต้องดูส่วนประกอบที่เหมาะสมเพราะบางที่โฟมล้างหน้าบางชนิดอาจจะมีส่วนประกอบที่แรงเกินกว่าใบหน้าของเราจะรับได้ เพราะฉะนั้นคุณผู้หญิงทั้งหลายจึงควรที่จะให้ความสนใจกับ วิธีเลือกซื้อโฟมล้างหน้า งั้นเราก็ลองไปดูเคล็ดลับ วิธีเลือกซื้อโฟมล้างหน้า อย่างถูกวิธีและเหมาะกับสภาพของผิวหน้ากันเลยดีกว่านะค่ะ รับรองว่า วิธีเลือกโฟมล้างหน้าไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากอย่างที่คุณคิดแน่นอนค่ะ



วิธีเลือกโฟมล้างหน้า "ให้เหมาะกับสภาพผิวหน้า" เลือกซื้ออย่างถูกต้องนะจ๊ะ!

- ผิวมัน

ต่อมไขมันบนใบหน้าได้ผลิตไขมันออกมามากเกินไปทำให้ใบหน้ามันและมีปัญหาต่างๆ ตามมา เราจึงไม่ควรเลือกโฟมที่แรงเกินไปจนล้างแล้วรู้สึกว่าใบหน้าแห้งแบบไม่เหลือความชุ่มชื้นไว้เลยนะค่ะ ควรซื้อแบบที่มีคำว่า ออยล์โซลูชั่น หรือ สูตรควบคุมความมันค่ะ

- ผิวแห้ง

เป็นผิวที่ขาดความชุ่มชื้นเพราะไม่ค่อยมีไขมันตามธรรมชาติหรือผิวหน้าคุณอาจสัมผัสกับแสงแดดหรือลมแรงบ่อยๆ และขาดการดูแลอย่างเหมาะสม เลือกใช้ครีมล้างหน้าหรือโฟมล้างหน้าที่มีมอยส์เจอร์ผสมอยู่ด้วยสิคะเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวไว้เสมอค่ะ

- ผิวธรรมดา

ง่ายที่สุดค่ะสามารถเลือกใช้ได้หลายประเภทมากกว่าโดยไม่ต้องระวังมากว่าจะทำให้ผิวแพ้หรือแห้งไปแต่ต้องเลือกที่ถนอมผิวคุณด้วยค่ะ



- ผิวคล้ำ

แสงแดดและมลพิษเป็นตัวหลักของผิวหมองคล้ำ โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของวิตามินบี 3 และ บี 6 จะช่วยลดการสะสมของเม็ดสีผิมคล้ำที่อยู่ในชั้นผิว ส่วนวิตามินซีและอีจะช่วยปรับสภาพผิวและลดผลกระทบของอนุมูลอิสระที่ทำให้ใบหน้าหมองคล้ำช่วยให้ผิวหน้าค่อยๆ ปรับสภาพขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

- สำหรับคนที่มีปัญหาสิวเสี้ยน

เลือกใช้ผลิตภัณฑที่มีเม็ดบีดส์จะช่วยทำความสะอาดผิวตามร่องลึกของผิว ช่วยผลัดผิวโดยไม่ทำลายสมดุลน้ำหล่อเลี้ยงผิวและถ้ามีวิตามินซีด้วยจะยิ่งดีใหญ่ค่ะ

- ใบหน้าที่มีปัญหาเรื่องสิว

ใช้โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของวิตามินอีและซีจะช่วยลบเลือนรอยแผลเป็น จุดด่างดำจะค่อยๆ จางลง และควรเลือกโฟมล้างหน้าสูตรที่ทำความสะอาดล้ำลึกลดสาเหตุของการอุตตันโดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึง

- ผิวที่มีรูขุมขนกว้าง

ควรใช้มาส์กพอกหน้าเป็นครั้งคราวค่ะ จะช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง ผิวเนียนเรียบ นอกจากนี้ให้ใช้โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของโทนเนอร์จากธรรมชาติหรือเช็ดผิวด้วยโทนเนอร์หลังล้างหน้าก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้รูขุมขนเล็กลงค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต